รวมประเภทเต็นท์พร้อมลุยทุกสถานการณ์ – HANG REVIEW l ท่องเที่ยว รีวิวสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร : HANG REVIEW l ท่องเที่ยว รีวิวสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร

logo-web1-2-6749235 หน้าหลัก > เทคนิคการท่องเที่ยว > รวมประเภทเต็นท์พร้อมลุยทุกสถานการณ์

เต็นท์ที่เรารู้จักกันนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้มีแค่ทรงสามเหลี่ยม และก็ทรงโค้งรูปตัวดีเท่านั้น วันนี้ผมจะนำเต็นท์แต่ละแบบมาให้ชมกัน รวมถึงอธิบายด้วยว่าเต็นท์แต่ละแบบนั้นเป็นยังไง และมีอะไรในเต็นท์นั้นบ้าง รับรองว่าเต็นท์แต่ละแบบนั้นน่าสนใจมากเลยทีเดียวครับ

เต็นท์แบบสามเหลี่ยม (Pup Tent)

คือเต็นท์ที่ใช้เสาเต็นท์และสมอบกในการกาง โดยจะมีเสาเต็นท์ 2 ข้างบริเวณประตูเป็นตัวยึดโครงเต็นท์ เต็นท์ลักษณะนี้จำเป็นต้องใช้สมอบกและเชื่อกขึงตามมุมเพื่อทำการยึดเต็นท์  เมื่อกางเสร็จแล้วจะมีลักษณะคล้ายสามเหลี่ยมทรงปริซึ่ม ข้อเสียของเต็นท์ชนิดนี้คือกางยากและพื้นที่ใช้สอยไม่มาก เพราะจะเสียพื้นที่บริเวณมุมเต็นท์เพราะผนังจะมีลักษณะลาดเอียง และมักจะมีน้ำเกาะบริเวณผนังเต็นท์ แต่ในบางรุ่นในปัจจุบันก็มีการออกแบบให้มีฟลายชีสอีกชั้นหนึ่งเพื่อกันฝน

เต็นท์โครง (A Frame)

เต็นท์โครงจะมีลักษณะคล้ายกับเต็นท์แบบสามเหลี่ยม แต่จะมีลักษณะของโครงสร้างต่างไป โดยแทนที่จะมีเสาทั้งสองด้านของตัวเต็นท์เพื่อยึดตัวเต็นท์ แต่จะใช้โครงเหล็กลักษณะคล้ายกับตัว A ยึดกับแกนที่มีลักษณะเป็นแนวยาวขนานกับตัวเต็นท์ด้านบน พื้นที่ใช้สอยจะมีมากกว่าแบบสามเหลี่ยม เต็นท์ลักษณะนี้จะต้องปักสมอบกเพื่อยึดตัวเต็นท์ให้เกิดความแข็งแรง (คล้ายกับเต็นท์แบบสามเหลี่ยม) ในบ้านเราก็มีจำหน่ายเต็นท์ลักษณะนี้แต่ยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก

เต็นท์ทรงบ้าน (Cabin)

เป็นเต็นท์ที่ถูกพัฒนามาใช้กับกิจกรรมเดินทางด้วยรถ ซึ่งไม่มีข้อจำกัดเรื่องการขนย้าย สามารถแบ่งเป็น ห้องหรือพื้นที่ทำกิจกรรมโดยเปลี่ยนเป็นฟลายชีท

เต็นท์โดม (Dome)

เต็นท์โดม คือเต็นท์ที่ใช้โครงเสาไฟเบอร์ในการกาง แต่จะใช้สมอบกเพื่อยึดเต็นท์ให้อยู่กับที่เท่านั้น จะเห็นได้ว่าเต็นท์โดมมีคุณสมบัติที่โดดเด่นและเหนือกว่าเต็นท์สามเหลี่ยมมากโดยเฉพาะคุณสมบัติที่เคลื่อนย้ายง่ายและกางได้ทุกพื้นที่ เพราะในบางครั้งเรามีความจำเป็นที่จะต้องกางเต็นท์บนพื้นดินที่แข็งมาก ,บนลานหิน ,บนลานปูน หรือบนพื้นที่ที่ไม่อาจจะตอกสมอบกได้ และในบางครั้งเราก็ต้องมีการย้ายพื้นที่กางเต็นท์ในขณะที่กางเต็นท์ไปแล้ว เช่นกางอยู่บนรังมด หรือมีเศษไม้ เศษหินอยู่ใต้เต็นท์ เราก็สามารถที่จะยกเต็นท์โดมออกแล้วย้ายหรือหยิบเศษไม้เศษหินเหล่านั้นออกไปได้โดยไม่ต้องเสียเวลากางเต็นท์ใหม่ เหมือนเต็นท์สามเหลี่ยม และด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดนี้จึงขอแนะนำให้ใช้เต็นท์นอนแบบโดม

เต็นท์แบบกระโจม (Tee Pee)

เต็นท์กระโจมจะมีลักษณะคล้ายกับกระโจมของอินเดียแดง โดยจะมีเสาเพียงต้นเดียว ลักษณะของเต็นท์ชนิดนี้จะเหมือนกับมีฟลายชีสมาคลุมพื้นไว้เป็นรูปกระโจมเท่านั้น โดยจะมีเสาอยู่ตรงกลาง ทางเข้าของเต็นท์ชนิดนี้จะเอียงตามความชันของกระโจม พื้นด้านล่างเมื่อกางเสร็จจะไม่เป็นสี่เหลี่ยมเพราะจะเสียพื้นที่ตรงความชันของกระโจม เราจะไม่ค่อยพบเต็นท์แบบนี้มากนักในบ้านเรา ข้อดีของเต็นท์กระโจมจะมีน้ำหนักเบาและติดตั้งง่ายเพราะมีเสาเพียงแค่ต้นเดียว (แต่บางแบบก็มีการพัฒนาให้มีเสาสองต้น เพื่อเพิ่มพื้นที่ด้านใน) ข้อเสียของเต็นท์ชนิดนี้ไม่สามารถใช้กับสภาพอากาศที่ฝนตก เพราะน้ำอาจเข้าได้

เต็นท์แบบอุโมงค์ (Tunnel or Hoop)

เต็นท์แบบอุโมงค์จะใช้เสาประมาณ 2-3 เสา โดยเสาจะสามารถงอให้เป็นรูปโค้งคล้ายกับห่วงครึ่งวงกลม ทำให้มีลักษณะคล้ายกับอุโมงค์ถ้านำมาเรียงต่อกัน โดยเสาที่โค้งเป็นครึ่งวงกลมนี้จะทำหน้าที่ยึดตัวเต็นท์ไว้ พื้นที่ใช้สอยของเต็นท์ลักษณะนี้จะค่อนข้างมาก เพราะเป็นทรงสูงจะไม่เสียพื้นที่กับการลาดเอียงของผนังเต็นท์ ขนาดของเต็นท์ชนิดนี้จะไม่ใหญ่มาก (ส่วนใหญ่จะนอนไม่เกิน 4 คน) เพราะถ้ามีขนาดใหญ่จะทำให้รูปทรงไม่สามารถต้านลมได้ ข้อดีของเต็นท์ชนิดนี้คือกางง่าย น้ำหนักเบา พื้นที่ใช้สอยมาก ส่วนข้อเสียคือกันลมได้ไม่ดี เพราะมีความลาดชันของผนังเต็นท์น้อยทำให้ต้านลม เต็นท์ชนิดนี้บางครั้งก็มีอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเต็นท์ เช่น ฟลายชีสกันฝน ฯลฯ ทั้งนี้ขึ้นกับผู้ผลิตเต็นท์ว่าจะทำอุปกรณ์เสริมชนิดใดออกมา

เต็นท์แบบกึ่งถุงนอน (Bivy Sacks)

เต็นท์ลักษณะนี้จะมีลักษณะคล้ายกับถุงนอนแต่จะมีส่วนที่ใช้ครอบศีรษะ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเต็นท์เล็ก ๆ บนศีรษะ เต็นท์ลักษณะนี้จะมีพื้นที่ใช้สอยน้อย แค่นอนไปก็ที่เต็มแล้ว และไม่เหมาะกับสภาพภูมิอากาศที่ฝนตก เพราะกันฝนได้ไม่ดี เหมาะสำหรับอากาศแบบทั่ว ๆ ไป หากเกรงว่าฝนจะตกก็อาจจะใช้ฟลายชีสกันฝนอีกชั้นหนึ่ง เราจะไม่ค่อยเห็นเต็นท์ลักษณะนี้กันมากนัก ข้อดีของเต็นท์ชนิดนี้คือน้ำหนักเบา เหมาะที่สุดสำหรับการนอนดูดาว

เต็นท์สปริง (Spring)

เป็นเต็นท์ที่ใช้ขดลวดสปริงเป็นโครงอยู่ภายในดังนั้นมันจึงเป็นเต็นท์ที่กางง่ายที่สุดในบรรดาเต็นท์ทั้ง 3 ชนิด คือแค่โยนขึ้นไปในอากาศโครงสปริงก็จะดันตัวเต็นท์ให้ดีดดึ๋งกางเสร็จสรรพในพริบตาแต่ไม่แนะนำให้ซื้อเต็นท์ประเภทนี่มาใช้เพราะมีโครงสร้างที่ไม่แข็งแรงแค่ลมพัดมาก็จะปลิวแล้ว และเต็นท์ที่ผลิตก็จะมีขนาดเพียง 2-3 คนนอนเท่านั้น

ข้อแนะนำการใช้เต็นท์

•     เต็นท์แต่ละประเภทจะมีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นผู้ใช้เต็นท์ควรศึกษาข้อมูลของเต็นท์ให้ดีว่า ใช้ในสถานที่อะไร สภาพอากาศแบบไหน ความจุของเต็นท์เท่าไหร่ เพื่อให้การใช้เต็นท์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ที่นี้ผู้ใช้เต็นท์จะได้ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป

ขอขอบคุณบทความจาก :  MrBackpacker , Outdoor

Scroll to Top